1.อุโมงค์ต้นไม้ บนเส้นทางมวกเหล็ก-วังม่วง เส้นทางสาย 2089 มีอุโมงค์ต้นไม้ เกิดจากต้นกระถินใหญ่สองข้างถนนโน้มกิ่งเข้าหากัน ทำให้ถนนร่มครึ้มเป็นระยะทางยาวดูคล้ายอุโมงค์ และให้ความร่มรื่นสวยงามมีความยาวประมาณ 200 เมตร นักท่องเที่ยวมักจอดรถแวะถ่ายรูปเป็นประจำ ถัดไปเล็กน้อยยังมีเนินพิศวง ซึ่งหากจอดรถเข้าเกียร์ว่าง จะเกิดภาพลวงตามองเห็นรถเคลื่อนที่จากที่ต่ำไปยังที่สูง นอกจากนี้ตามเส้นทางสายมวกเหล็ก-หนองย่างเสือ (ทางหลวงหมายเลข 2224) จะมีลำธารไหลเลียบถนนไปตลอดเส้นทางและมีรีสอร์ทของเอกชนหลายแห่งตั้งเรียงรายอยู่ริมธารน้ำตก
2.วัดเขาแก้ววรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร เดิมเป็นวัดโบราณวัดหนึ่งตั้งอบู่บนเขา ริมแม่น้ำป่าสัก ในเขตท้องที่ตำบลต้นตาล อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี เป็นวัดราษฎร์สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม ประมาณ ปี พ.ศ.2171 ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 กรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จนมัสการพระพุทธบาทและจะเสด็จนมัสการพระพุทธฉายได้ทรงแวะพักไพร่พลขบวนราบ ณ พลับพลาท่าหิน ลานหน้าวัดเขาแก้ว พระองค์ได้เสด็จขึ้นทอดพระเนตรวัดเขาแก้ว ทรงเลื่อมใสในภูมิฐานของวัด ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาเล็กๆ แวดล้อมด้วยธรรมชาติที่งดงามเป็นที่สงบเหมาะสำหรับการบำเพ็ญสมณธรรม พระองค์ทรงมีพระราชศรัทธาที่จะบูรณปฏิสังขรณ์วัด นี้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) เป็นแม่กองควบคุมการก่อสร้าง เจ้าพระยานิกรบดินทร์ได้จัดพวกนายกองโค พากันไปรับไม้เครื่องบนและสิ่งก่อสร้างจากกรุงเทพฯ มาบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ ปรับปรุงขยายให้ใหญ่กว่าเดิม ก่อกำแพงรอบพระอุโบสถขึ้นมาใหม่ สร้างกุฏิไว้ด้านทิศเหนือของเจดีย์และบูรณะองค์พระเจดีย์ของเดิม เมื่อเสร็จแล้วมีพระกระแสรับสั่งให้สถาปนาวัดเขาแก้วขึ้นเป็นพระอารามหลวง พระราชทานนามว่า “ วัดคีรีรัตนาราม
3.พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นธงชัย เป็นที่กราบไหว้สักการบูชาของชาวไทยทั้งสี่ทิศ กรมการรักษาดินแดน (Territorial Defense Department)
ได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่องค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู
่หัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โดยสร้างขึ้น 4 องค์ เมื่อวันที่ 6 มีนาคม พงศ.2509 เป็นพระปางขัดสมาธิ วัสดุโลหะผสม ทองเหลือง 2 ส่วน ทองแดง 1ส่วน ทองขาว 1 ส่วน น้ำหนักประมาณ 400 กิโลกรัม หน้าตักกว้าง 49 นิ้ว สูง 69 นิ้ว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้โปรดฯ พระราชทานแก่ชาวสระบุรี เพื่อเป็นพระพุทธรูปประจำทิศตะวันออก ชาวสระบุรี จึงได้ดำเนินการก่อสร้างศาลาจตุรมุขขึ้น และได้อัญเชิญพระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ ขึ้นประดิษฐานไว้เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2515 ศาลาจตุรมุขหลังนี้ได้สร้างขึ้นด้วยเงินบริจาคของชาวสระบุรี สร้างเสร็จเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2515 เป็นเงินค่าก่อสร้าง 1,192,798.40 บาท
4.วัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ที่ปากถ้ำมีอักษรมอญโบราณ (ปัลลวะ) ซึ่งเป็นแบบอักษรของชาวอินเดียฝ่ายใต้ ปรากฎมีในภาคกลาง และภาคใต้ของประเทศไทยในสมัยก่อนสุโขทัย จนวิวัฒนาการมาเป็นอักษรขอมและ มอญโบราณ ซึ่งพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรง นำมาดัดแปลงประดิษฐ์เป็นต้นกำเนิดอักษรไทย จนถึงทุกวันนี้อักษรจารึกถ้ำนารายณ์ มีข้อความ ๓ บรรทัด ถูกจารึกในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๒ (ยุคทวาราวดี) ในยุคนั้น ชนชาติมอญมีอำนาจรุ่งเรือง อักษรจารึก เขียนเป็นคำบอกร้อยแก้ว กรมศิลปากรแปลไว้ว่า “กัณทราชัย ผู้ตั้งแคว้นอนุราธปุระ ได้มอบให้พ่อลุงสินาธะ เป็นตัวแทนพร้อมกับชาวเมือง (อนุราธปุระ) จัดพิธีร้องรำ เพื่อเฉลิมฉลอง(สิ่ง)ซึ่งประดิษฐานไว้แล้วข้างในนี้”
(อ้างอิงจาก เทิม มีเต็ม และจำปา เยื้องเจริญ กองหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร ‘จารึกบนผนังปากถ้ำนารายณ์’ ในวารสารศิลปากร หน้า ๕๓-๕๗ ม.ป.ป.)
จารึกนี้บอกให้ทราบว่า ท้องถิ่นแถบนี้มีผู้คนอาศัยอยู่เป็นเวลานาน และอาจจะเคยเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง มาก่อน ซึ่งคำว่า ‘อนุราธปุระ’ เป็นชื่อเมืองโบราณในประเทศศรีลังกา ซึ่งเป็นเกาะทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย และอาจจะแสดงว่าชาวลังกากับคนท้องถิ่นนี้ (มอญโบราณ) มีการติดต่อสัมพันธ์กัน จึงมีการอ้างชื่อเมือง เพื่อกำหนดให้ระลึกถึงกัน พร้อมทั้งจารึกอักษรไว้เป็นหลักฐาน ทั้งนี้เปรียบเทียบศึกษาจากบันทึกในพงศาวดาร หลายฉบับระบุว่า ในสมัยอาณาจักรสุโขทัย และกรุงศรีอยุธยา รัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ.๒๑๖๓-๒๑๗๑) เคยมีปรากฏคณะสงฆ์ไทยเดินทางไปเมืองลังกาเพื่อนมัสการรอยพระพุทธบาทที่เขาสุมนกูฏ แต่ พระภิกษุลังกาได้บอกว่ามีรอยพระพุทธบาทในประเทศไทยที่เขาสุวรรณบรรพต และเกิดการค้นพบรอยพระพุทธบาทบริเวณเทือกเขานี้ในเวลาต่อมา หรืออาจจะหมายถึงการแลก เปลี่ยนวัฒนธรรมพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ และสยามวงศ์ตามที่ปรากฏในพงศาวดารของชาติไทยเราด้วย ก็อาจจะเป็นได้
สถานที่แห่งนี้ เป็นศาสนสถานมาเป็นเวลายาวนาน สืบความไปถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เสด็จจากวังนารายณ์ เมืองละโว้(ลพบุรี) ไปว่าราชการ ณ กรุงศรีอยุธยา ทรงผ่านประทับแรม ณ ถ้ำนารายณ์ …และสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมซึ่งเสด็จนมัสการรอยพระพุทธบาท ก็ได้เสด็จประทับพักแรมในถ้ำนารายณ์ ซึ่งมีอากาศเย็นสบายตลอดปี และจากจารึกอักษรผนังปากถ้ำก็ปรากฏหลักฐานว่าถ้ำนี้ได้เคยเป็นที่บำเพ็ญกุศล มาตั้งแต่สมัยอนุราธปุระ เมื่อกว่า ๑,๒๐๐ ปีมาแล้ว ผ่านความรุ่งเรืองและเสื่อมโทรม และฟื้นฟูขึ้นเป็นวัดตามประเพณีการปกครองแผ่นดินและการสืบพระพุทธศาสนา ดังกล่าวข้างต้น
ปัจจุบันนี้ โดยการนำของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) และพระธรรมสิทธินายก (ธงชัย สุขญาโณ) แห่งวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร วัดเขาวง ได้พัฒนาขึ้นมาสู่สภาพวัดพัฒนาตัวอย่างที่มีผลงานดีเด่น ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนของกรมศิลปากรแล้วเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๕ ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๙ ตอนพิเศษ ๑๑๙ ง และยังเป็นแหล่งพันธุ์ไม้และสัตว์หาดูยาก คือโมกราชินี (Wrightia SIRIKITIAE D.J. Middleton&Santisuk) จันผา, นกหัวจุก, กระรอกเผือก ฯลฯ เพื่อรักษาไว้เป็นมรดกวัฒนธรรมศาสนาของชาติไทยสืบไป
5.บูชาพระบรมสารีริกธาตุ ชมสุดยอดมหาเจดีย์ทองคำ 500 ยอด ที่วัดป่าสว่างบุญ สระบุรี
วัดป่าสว่างบุญ สร้างขึ้นในปี 2528 โดยหลวงพ่อสมชาย ปุญญมโน ในเนื้อที่กว่า400 ไร่ ซึ่งเป็นที่ของโยมพ่อของหลวงพ่อสมชายเอง ทางด้านในวัดเป็นสถานที่ที่สงบเงียบเหมาะกับการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างมาก เนื่องจากพื้นที่ทางด้านหลังติดกับเชิงเขามีอากาศที่เย็นสบายมาก ๆและมีประชาชนเข้าไปปฏิบัติธรรมกันเป็นจำนวนมากในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
ต่อมาก็มีประชาชนที่เคารพศรัทธาในตัวหลวงพ่อสมชาย เป็นจำนวนมาก เมื่อประมาณปี 2548 ประชาชนในจังหวัดสระบุรีและทั่วภูมิภาคได้ร่วมกันจัดสร้างองค์พระมหารัตน โลหะเจดีย์ศรีศาสนโพธิ์สัตว์สว่างบุญ กับทางวัดป่าสว่างบุญ ขึ้นมาและแล้วเสร็จเมือปี 2550 ซึ่งเป็นองค์มหาเจดีย์ที่มีความสวยงามแปลกตาเป็นอย่างมากเพราะมีองค์เจดีย์ ถึง 500 ยอด ซึ่งแตกต่างไปจากองค์มหาเจดีองค์อื่น ๆ ในเมืองไทย
ลักษณะขององค์มหาเจดีย์เป็นองค์เจดีย์องค์ใหญ่อยู่ตรงกลางและมีองค์เจดีย์ราย อยู่รอบ ๆ โดยมีซุ้มประตูทางขึ้นทั้งสี่มุม ทำเป็นบันไดขึ้นไปยังองค์เจดีย์ที่ตั้งอยู่ทางด้านบน ตัวองค์เจดีย์เป็นปูนปั้นรูปแบบสวยงามประณีตเคลือบสีทองทั้งหมดทุกองค์ ในเจดีย์องค์ใหญ่นั้นครอบองค์เจดีย์องค์เล็กไว้อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งในเจดีย์องค์เล็กบรรจุพระบรมสารีริกธาตุต่าง ๆ ไว้ด้วย นอกจากองค์เจดีย์องค์เล็กที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุแล้ว ในยอดขององค์เจดีย์ ทั้ง 500 ยอดนั้นก็บรรจุพระบรมสารีริกธาตุทุกองค์ ถือเป็นศาสนสถานที่มีความศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งหนึ่ง
องค์เจดีย์องค์เล็กด้านในเป็นปูนปั้น สวยงามประดับกระจกทับทิมโดยรอบสวยงามด้านในวัดมีศาลาขนาดใหญ่สำหรับท่านที่ ต้องการปฏิบัติธรรม ภายในวัดมีความร่มรื่นมาก สงบเงียบ และสะอาดถือว่าเป็นวัดพัฒนาตัวอย่างอีกแห่งหนึ่งเลยก็ว่าได้ นอกจากนั้นยังมีศิลปะจากแผ่นไม้ให้เราได้ชมกันในหลายแบบหลายชิ้น และในเร็ว ๆ นี้ ทางวัดกำลังจัดสร้างพระนอนอินเดียองค์ใหญ่ซึ่งมีขนาดถึง 145 เมตร
6.ชมความยิ่งใหญ่ของเรือยาว ศิลปะภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยที่ตำนานเทพนรสิงห์ ในวัดเสาไห้
คนไทยมีวิถีชีวิตผูกพันอยู่กับสายน้ำธรรมชาติ และมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติมายาวนาน ในเทศกาลบุญผ้าป่า บุญทอดกฐินในเทศกาลออกพรรษา และเลยไปถึงงานลอยกระทง จึงนำเรือซึ่งเป็นพาหนะสำคัญในการสัญจรมาแต่อดีต อัญเชิญผ้าป่า ผ้าห่ม หรือกฐิน ไปทอดถวายตามคุ้มวัดต่างๆ ที่อยู่ริมน้ำทั่วไป ระหว่างนี้เองจึงมีการประลองฝีพายของคุ้มบ้านและคุ้มวัดต่างๆ ก่อกำเนิดเป็นวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามบนสายน้ำ และวิวัฒนาการมาเป็นการแข่งขันเรือยาวประเพณี อันยิ่งใหญ่เกรียงไกรในวิถีชีวิตของชาวไทย สืบทอดกันมาจวบจนปัจจุบัน
ในสนามแข่งขันของเมืองไทย ส่วนใหญ่ก็เป็นสนามหน้าวัดของท้องถิ่นนั้น ๆ ที่วัดเสาไห้ก็เช่นกัน เป็นอีกวัดหนึ่งที่มีชื่อเสียงด้านการแข่งเรือยาวมาช้านาน และตลอดย่านลำน้ำป่าสักที่ทอดยาวมาหลายจังหวัด คงจะไม่มีใครไม่เคยได้ยิน กิตติศัพท์ความฉกาจฉกรรจ์ของเรือ เทพนรสิงห์ และเรือ เทพนรสิงห์ 88 ซึ่งเป็นเรือตำนานอมตะ ที่ทำชื่อเสียงให้แก่อำเภอเสาไห้ และจังหวัดสระบุรีเป็นอย่างมาก กวาดรางวัลชนะเลิศประเพณีการแข่งเรือยาวต่าง ๆ มาแล้วมากมายทั่วประเทศ ถือว่าเป็นเรือที่ดุดันทั้งฝีฝายและตัวเรือที่สวยงามยิ่งใหญ่
ความยิ่งใหญ่ของตำนานเรือยาวเจ้าแห่งลุ่มน้ำป่าสัก เทพนรสิงห์แห่งวัดเสาไห้ ถ้าใครเคยดูประเพณีแข่งขันเรือยาวของเมืองไทยต้องรู้จักชื่อของเรือเทพนรสิงห์เป็นแน่แท้ เพราะถือว่าเป็นเจ้าแห่งสายน้ำในหลายสนามของไทย มีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วคุ้งน้ำในหลายจังหวัด เป็นเรือที่สรรค์สร้างโดยช่างฝีมือชาวบ้าน ซึ่งรักและผูกพันกับการสร้างเรือมาอย่างยาวนาน นั่นก็คือ ช่างดำแห่งอ.หลังสวน จังหวัดชุมพรซึ่งเป็นช่างขุดเรือแบบโบราณชาวบ้าน ฝีมือเอกท่านหนึ่งของเมืองไทยเลยทีเดียว
7.เสาร้องไห้ เป็นตำนานของเจ้าแม่ตะเคียนทองที่ตั้งอยู่ในศาลนางตะเคียนทอง ณ วัดสูง ตำบลเสาไห้ ห่างจากที่ว่าการอำเภอเสาไห้ประมาณ 500 เมตร เป็นเสาไม้ตะเคียนขนาดใหญ่ โดยถือกันว่าเป็นเจ้าแม่ เพราะสิ่งของที่นำไปบูชาล้วนเป็นของสตรีทั้งสิ้น มีตำนานเล่ากันว่า เมื่อครั้งสร้างกรุงเทพฯ เป็นราชธานี ได้มีการเกณฑ์เสาจากหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อคัดเลือกเสาที่มีลักษณะงดงาม เพื่อจัดเป็นเสาเอก ทางเมืองสระบุรีได้จัดส่งเสาต้นหนึ่งที่มีลักษณะงดงามมากล่องลงมาตามลำน้ำ ป่าสัก แต่มาถึงกรุงเทพฯ ช้าไปเล็กน้อย และได้มีการคัดเลือกเสาเอกไปก่อนแล้ว จึงได้เป็นเสารอง ซึ่งถ้าเสาต้นนี้มาทันเวลาก็ต้องได้เป็นเสาเอกอย่างแน่นอน เพราะมีลักษณะใหญ่ และสวยงามมาก ด้วยความยาว 13 เมตร กล้าว 0.75 เมตร เสาต้นนี้จึงเกิดความเสียใจลอยทวนน้ำกลับขึ้นมาจมลง ณ ตำบลแห่งนี้อยู่ประมาณ 100 กว่าปี เมื่อปี พ.ศ. 2501 ได้มีชาวบ้านนำขึ้นจากน้ำไปไว้ที่ศาลหน้าพระอุโบสถวัดสูงจนถึงปัจจุบันนี้ พอตกเวลากลางคืนชาวบ้านมักได้ยินเสียงร้องไห้ จึงได้ให้ชื่อตำบลนี้ว่า ตำบลเสาร้องไห้ และได้กลายเป็น “อำเภอเสาไห้” ในปัจจุบัน
เมื่อประมาณปี 2501 นางเฉลียว จันทร์ประสิทธิ์ ได้ฝันว่ามีหญิงคนหนึ่ง บอกว่าเป็นนางไม้ประจำเสาที่จมน้ำอยู่ ให้บอกสามีเอาเสาขึ้นมาจากน้ำด้วย นายเผ่าผู้เป็นสามีก็ไม่เชื่อ มีคนเล่าต่อกันมาว่า นางไม้ของเสาต้นนี้ได้ไปเข้าทรงกับผู้อื่นอีกหลายครั้ง จนในที่สุดชาวบ้านหลายคนก็ได้ไปร้องขอให้นายเผ่าเอาเสาต้นนี้ขึ้นมาให้ได้ ตามคำล่ำลือ จนนำมาสู่การนำเอาเสาขึ้นมาจากน้ำ เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2501 และในวันนี้เอง ได้รับคำบอกเล่าจากนายจำลอง ขาววรรณะว่า วันนั้นแดดร้อนจัดมากขณะที่กำลังนำเสาขึ้นจากน้ำ ท้องฟ้าก็มืดครื้มไปหมดทันที มีเสียงฝ้าผ่าดังมากเป็นประกายสีเขียวไปทั่ว เสียงฟ้าร้องคำรามทำท่าคล้ายฝนจะตก ทำให้ผู้คนที่มาเข้าร่วมพิธีกันเป็นจำนวนมากต่างตื่นตาตื่นใจ
วันที่ 23 เมษายน 2501 เป็นวันที่เชิญเสาไปประดิษฐานที่วัดสูง เวลา 9.00 น. เริ่มพิธีเคลื่อนเสาไปสู่วัดสูง โดยตั้งศาลสูงเพียงตา มีหัวหมูซ้ายขวา บายศรี 3 ชั้น ใช้ด้ายสายสิญจน์ผูกที่เสาแล้วใช้เชือกผูกแพที่รับเสาไห้ประชาชนดึง เมื่อได้ฤกษ์ พระสงฆ์ 9 รูปเจริญชัยมงคลคาถา ประชาชนที่อยู่บนฝั่งหน้าที่ว่าการอำเภอเสาไห้ก็ดึงเชือกแพลูกบวบให้เคลื่อน ไปทางทิศตะวันออก มีเรือแตรวงนำขบวน มีเรือต่างๆร่วมขบวนอีกเป็นจำนวนมาก
ในวันนั้นที่นำเสาขึ้นจากน้ำมีประชาชนมาร่วมพิธีเป็นจำนวนมากประมาณสามหมื่นคน นับเป็นวันประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของชาวอำเภอเสาไห้ที่ต้องจารึกไว้ ต่อมาจึงได้สร้างศาลถาวรขึ้นที่หน้าพระอุโบสถในวัดสูง เป็นศาลกว้าง 4 เมตร ยาว 15 เมตร มีมุขออกด้านตะวันออก พื้นคอนกรีต มีฐานก่ออิฐสูงรองรับเสาตะเคียน ต่อมาเมื่อวัดสูงได้สร้างศาลาการเปรียญหลังใหม่ขึ้น จึงได้ดัดแปลงศาลาการเปรียญหลังเดิมเป็นอาคารทรงไทยสวยงาม และอัญเชิญเสาแม่นางตะเคียนมาประดิษฐานที่ศาลหลังใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2530 มาจนถึงทุกวันนี้
8.เที่ยวเชิงเกษตร ชมแหล่งทำไม้ขุดล้อมแหล่งใหญ่ที่สุดของเมืองไทย ที่ ตำบลชะอม สระบุรี
ตำบลชะอม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ซึ่งชาวบ้าน 17 หมู่บ้าน กว่า 290 ครัวเรือนในตำบลชะอมแห่งนี้ ทำการปลูกขายไม้ขุดล้อมกันเป็นอาชีพหลัก นับว่าเป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์ไม้ขุดล้อม ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และยังเป็นแหล่งส่งออกที่สำคัญทั้งในประเทศ และต่างประเทศอีกด้วย สมัยก่อนชาวบ้านแถบตำบลชะอม ก็จะมีอาชีพหลักก็คือการปลูกมันสำปะหลัง แต่รายได้ไม่ค่อยจะดีนัก เมื่อประมาณปี 2517 มีบริษัทจากต่างประเทศเข้ามาแนะนำเกี่ยวกับการทำไม้ขุดล้อม และช่วยสอนชาวบ้านในขั้นตอนการปลูกจนสามารถทำเป็นอาชีพได้ และเมือผลผลิตออกมาก็รับซื้อทั้งหมด จนชาวบ้านที่ปลูกเริ่มแรกมีรายได้ดีพอสมควร
ในช่วงแรกไม่มีคนปลูกมากนักมีเป็นบางครัวเรือนเท่านั้น ต่อมาเมื่อเห็นว่ารายได้ดีกว่าการทำมันสำปะหลัง จึงหันมาทำไม้ขุดล้อมกันมากขึ้น จนกลายเป็นอาชีพหลักประจำตำบลชะอมแห่งนี้ในปัจจุบัน ซึ่งทำกันแทบทุกครัวเรือนเมื่อมีชาวบ้านทำกันเป็นกลุ่มก้อนมากขึ้น ชาวบ้านจึงรวมตัวกันหาตลาดเองเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และสามารถขยายตลาดสู่ทุกภูมิภาคของไทยในปัจจุบัน ถือว่าเป็นชุมชนเข้มแข็งพึ่งพาตนเองที่น่ายกย่องเป็นอย่างมากและน่าจะนำแบบ อย่างไปใช้ในชุมชนต่าง ๆ ทั่วทั้งภูมิภาคของเมืองไทย
การทำไม้ขุดล้อม หรือไม้ล้อมที่ชาวบ้านทำนั้น คือต้นไม้พันธุ์ที่มีลำต้นเดี่ยวไม่พึ่งพิงกับต้นไม้อื่น ทั้งต้นใหญ่ และเล็ก ปลูกลงดินตามปกติ โดยจะบำรุงใส่ปุ๋ยเล็กน้อยเท่านั้น แล้วทิ้งระยะเวลาไว้ช่วงหนึ่ง หรือให้ได้ขนาดลำต้นตามที่ต้องการโดยส่วนมากไม้ขุดล้อมจะมีอายุอย่างน้อย 1 ปี เมือต้นได้ตามขนาดที่ต้องการหรือตามที่ลูกค้าสั่ง ก็ขุดขึ้นมาทั้งต้น โดยแหล่งพันธุ์ไม้ที่ปลูกก็จะนำมาจาก อำเภอภาชี จังหวัดอยุธยา
ในปัจจุบันจะมีพันธุ์ไม้หลายชนิดที่ ปลูกไว้เพื่อมาทำไม้ขุดล้อมมากมายหลายชนิด อาทิ อินทนิล ตะแบก ราชพฤกษ์ นนทรี พญาสัตบัน เหลืองสิรินธร คูน ประดู่ หางนกยุง เป็นต้น ถือว่าการทำไม้ขุดล้อมมีขั้นตอนค่อนข้างยุ่งยากพอสมควรกว่าจะได้จำหน่ายถือว่า ต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก การเที่ยวเชิงเกษตร ได้ทั้งความสนุกสานานเพลิดเพลิน ได้ทั้งความรู้ใหม่ ๆ ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงอีกด้วย
9.น้ำตกเจ็ดสาวน้อย อยู่ในพื้นที่ “วนอุทยานน้ำตกเจ็ดสาวน้อย” ซึ่งจัดตั้งเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2523 อยู่ในท้องที่อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี และอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ต่อมาจึงได้ผนวกรวมกับพื้นที่ป่าใกล้เคียง ตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อย
อุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อย มีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสลับซับซ้อน สลับกับที่ราบ ลักษณะพื้นที่ค่อนข้างแห้งแล้งมีหน้าดินตื้น มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง สภาพป่าโดยทั่วไปเป็นป่าปลูก และป่าที่ฟื้นตัวเองตามธรรมชาติ เนื่องจากแต่เดิมเป็นพื้นที่ที่ถูกบุกรุกทำลายมาก่อนและได้รับการปลูกป่า ฟื้นฟู พื้นที่บางส่วนอยู่ในเขตสวนป่าหลังเขา-ท่าระหัด จังหวัดสระบุรี และพื้นที่แปลงปลูกป่าตามโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวเนื่องในวโรกาสทรงครองราชย์ปีที่ 50 บางพื้นที่เป็นป่าที่ฟื้นตัวตามธรรมชาติ พื้นที่โดยรอบทั้งหมดเป็นพื้นที่เกษตรกรรมและที่อยู่อาศัย มีถนนล้อมรอบ จึงถูกตัดออกจากป่าอนุรักษ์แห่งอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง ไม่มีผืนป่าธรรมชาติแห่งอื่นต่อเนื่องหรือใกล้เคียง ดังนั้นจึงไม่มีการแลกเปลี่ยนสายพันธุ์พืช และสัตว์ป่ากับป่าธรรมชาติ ความหลากหลายของพันธุ์พืชและสัตว์ป่าจึงมีค่อนข้างน้อย
ตัวน้ำตกเจ็ดสาวน้อย ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าโปร่ง มีต้นน้ำมาจากผืนป่าอันอุดมใน อช. เขาใหญ่ เป็นน้ำตกเตี้ยๆ มีเจ็ดชั้น แต่ละชั้นสูง 2-5 ม. จากน้ำตกชั้นที่ 1 เดินลงไปถึงน้ำตกชั้นที่ 7 ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที สายน้ำไหลลดหลั่นลงไปเป็นธารน้ำตกกว้างคล้ายแก่งขนาดใหญ่ มีแอ่งน้ำตื้นๆ ให้ลงเล่นน้ำหลายแห่ง บางชั้นก็มีน้ำตกเป็นชั้นเล็กๆ แยกย่อยไปอีก นับเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของน้ำตกแห่งนี้ ทางวนอุทยานฯ ได้จัดทำเส้นทางเดินเลียบน้ำตกเป็นทางซีเมนต์ลงไปถึงน้ำตกชั้นที่ 5 จากนั้นเป็นทางดินถึงน้ำตกชั้นที่ 7 มีป้ายบอกชั้นน้ำตกและป้ายเตือนตามจุดอันตราย เช่น ด้านหน้ามีโขดหิน ห้ามกระโดดน้ำ ฯลฯ
น้ำตกเจ็ดสาวน้อยสามารถเล่นน้ำได้อย่างปลอดภัยทุกชั้น ยกเว้นน้ำตกชั้นที่ 3 ซึ่งมีแอ่งน้ำลึกตรงหน้าแก่ง มักเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง น้ำตกชั้นที่สูงที่สุดและสวยที่สุดคือชั้นที่ 4 สูงราว 3 ม. มีแอ่งน้ำใหญ่กว้างขวางให้ลงเล่น ส่วนผู้ที่ชอบความสงบให้เดินต่อไปยังน้ำตกชั้นที่ 5-7 เพราะไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน แต่ชั้นที่ 6 และ 7 กระแสน้ำค่อนข้างแรง ไม่ควรลงเล่นน้ำ ด้านหลังห้องน้ำสาธารณะมีสะพานแขวนข้ามธารน้ำตก เป็นจุดชมความสวยงามของน้ำตกชั้นที่ 1-4 ได้ชัดเจน
10.วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร จังหวัดสระบุรี เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกพิเศษ ชนิดวรวิหาร ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่อีกแห่งหนึ่ง สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าทรงธรรม มีรอยปูชนียสถานที่สำคัญ คือ รอยพระพุทธบาท ที่ประทับไว้บนแผ่นหิน เหนือไหล่เขาสุวรรณบรรพต หรือเขาสัจจพันธคีรี เป็นรอยพระพุทธบาทล้ำค่าซึ่งมีคุณลักษณะครบ 108 ประการ ลักษณะของรอยพระพุทธบาทคล้ายเท้าคน ถือเป็นพลังแห่งศรัทธาของประชาชนทั่วทุกภูมิภาคความเชื่อและวิธีการบูชา ตามคติของคนโบราณกล่าวไว้ว่าหากได้มานมัสการรอยพระพุทธบาทนี้ครบถึง 7 ครั้ง จะได้ไปจุติในสรวงสวรรค์ แม้แต่ในชาติภพนี้ อานิสงส์ผลบุญจะส่งให้ชีวิตมีความสำเร็จสมหวังในทุกประการ
11. ทุ่งทานตะวันสระบุรี
ตามเส้นทางสายพัฒนานิคม-วังม่วง ซึ่งเป็นเขตรอยต่อระหว่างจังหวัดลพบุรี และสระบุรี เป็นแหล่งปลูกทานตะวันแหล่งใหญ่ของไทย มีการทำไร่ทานตะวันกันมากมายหลายราย มีขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 50 ไร่ 70 ไร่ ไปจนถึงแปลงขนาดใหญ่ มีพื้นที่เป็น 1000 ไร่ ในช่วงฤดูหนาวราวเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม จะเป็นช่วงเวลาที่ดอกทานตะวัน ในแปลงปลูกแต่ละแปลงจะได้เวลาบานพร้อมกัน แลสะพรั่งไปด้วยสีเหลืองของดอกทานตะวัน เหลืองอร่ามไปทั้งทุ่งกว้างไกลสุดสายตา สวยงามน่าตื่นตาตื่นใจ เป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเที่ยวชม
ทานตะวันเป็นพืชตระกูลถั่ว ประเภทเดียวกับเบญจมาศ คำฝอย ดาวเรือง บัวตอง เป็นพืชน้ำมันที่สำคัญทางเศรษฐกิจรองจากถั่วเหลือง และปาล์มน้ำมัน ทานตะวันค่อนข้างทนแล้งได้ดี เมื่อเปรียบเทียบกับพืชไร่ชนิดอื่น เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง และถั่วเขียว เมล็ดทานตะวันมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ส่วนกากที่ได้หลังจากสกัดน้ำมันแล้วมีโปรตีน 40-50 เปอร์เซ็นต์ น้ำมันทานตะวันมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวประมาณ 88 เปอร์เซ็นต์ สูงกว่าถั่วเหลือง และน้ำมันปาล์ม และมีสาร antioxidants กันหืนได้ดีสามารถเก็บไว้ได้นานกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่น เนื่องจากน้ำมันทานตะวันมีคุณค่าสูง จึงเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศเพื่อการบริโภค และใช้ในอุตสาหกรรมเช่น น้ำมันชักเงา น้ำมันหล่อลื่น สีทาบ้าน ส่วนลำต้นทานตะวันสามารถนำไปทำกระดาษคุณภาพดี
เกษตรกรจะทำการเพาะปลูกหรือหว่านเมล็ดพันธุ์ตั้งแต่ประมาณเดือนกันยายนเป็นต้นไป ดอกทานตะวันจะบานและให้เมล็ดเมื่ออายุครบ ๕๕-๖๐ วัน และจะบานสวยงามเต็มที่ประมาณ ๑๕ วัน หลังจากนั้นเกษตรกรจะปล่อยให้เมล็ดทานตะวันแห้งคาต้น แล้วจึงเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิต